วิธีรักษา กระ ฝ้าให้หายขาด

ปัญหากระ ฝ้า บนใบหน้า มักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุหลักคือมาจากแสงยูวีจากแดดนั่นเอง และส่วนมากผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดก็จะมีปัญหากระ ฝ้า มากกว่า และเป็นปัญหาที่รักษาให้หายขาดนั้นยาก
ปัญหากระ ฝ้า บนใบหน้า เป็นปัญหาที่เดิกขึ้นได้ง่าย แต่การรักษาให้หายนั้นยากและต้องใช้เวลานาน เชื่อว่าหลายคนเคยลองมาหลายวิธีแล้ว ไม่ว่าจะวิธีธรรมชาติ แต่มันก็ยังไม่หาย วันนี้เราวิธีรักษา กระ ฝ้าให้หายขาดมาฝาก ผู้ที่มีปัญหากระ ฝ้า บนใบหน้าทั้งหลายเพื่อที่จะพิจารณาในการรักษา กระ ฝ้า ว่าคุณควรที่จะเหมาะกับวิธีใดบ้าง โดยที่เรามีวิธีรักษา กระ ฝ้าให้หายขาดให้เลือกทั้งหมด 5วิธีค่ะ

วิธีรักษา กระ ฝ้าให้หายขาด

 


มีวิธีดังนี้คือ
  • การลอกหน้าด้วยสารเคมี
ข้อดีคือ 
  1. สาร เคมี เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก กรดไกลคอลิก อาจช่วยลอกผิวหนังส่วนบนทำให้ฝ้าจางลงได้
  2. กระ ฝ้า ก็จะหายในที่สุด
ข้อเสียคือ
  1. มีข้อแทรกซ้อน เช่น อาจเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และแผลเป็น การลอกหน้าทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น 
  2. ผู้ป่วยที่กินยาคุมกำเนิดไม่ควรลอกหน้าเพราะยาคุมทำให้เป็นฝ้าอยู่แล้วจะ ยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติและควรหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด
  • การกรอผิวด้วยผงขัด
ข้อดีคือ
  1. วิธี นี้จะเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ คือ การกรอผิวด้วยผงขัดไม่ต้องอาศัยการดมยา 
  2. เทคนิคนี้ไม่เจ็บทำซ้ำได้บ่อยทำง่ายและรวดเร็ว ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ทันที
ข้อเสียคือ
  1. ต้องทำซ้ำหลายครั้งและผลการรักษามีประสิทธิภาพน้อย 
  2. ข้อแทรกซ้อนของการกรอผิวด้วยผงขัดคือ อาการตาแดง กลัวแสง และน้ำตาไหล การกรอผิวด้วยผงขัดเพียงอย่างเดียวไม่ค่อยได้ผลในการรักษาฝ้า เพราะเทคนิคนี้ช่วยแค่ทำให้เม็ดสีในเซลล์ผิวหนังหลุดลอก
  • การใช้ความเย็นจัด
ข้อดีคือ
  1. การ ใช้ความเย็นจัดเป็นเทคนิคที่ใช้รักษาโรคผิวหนังหลายอย่าง พบว่าเซลล์ผิวหนังแต่ละชนิดถูกทำลายที่อุณหภูมิแตกต่างกัน มีการใช้เทคนิคความเย็นในการรักษาฝ้าก็สามารถช่วยให้กระ ฝ้า จางลงได้เช่นกันค่ะ
ข้อเสียคือ
  1. ข้อแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ เจ็บแผล และเกิดตุ่มน้ำบริเวณที่ทำ 
  2. ข้อแทรกซ้อนที่เกิดตามมา คือ มีเลือดออก ติดเชื้อ 
  3. ข้อแทรกซ้อนที่เป็นอยู่ได้นาน คือ ผิวเป็นรอยดำ และมีการเปลี่ยนแปลงของการรับความรู้สึก
  4.  ส่วนข้อแทรกซ้อนถาวร ได้แก่ ผมร่วง ผิวฝ่อ แผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็น ผิวเป็นรอยขาว และเกิดเปลือกตาปลิ้น
  • การใช้เทคนิคประจุไฟฟ้า
ข้อดีคือ
  1. ใช้เทคนิคไอออนโตของวิตามินซีมารักษา ฝ้าและรอยดำจากการเกิดผื่นแพ้สัมผัสทำให้รอยดำเหล่านี้จางลงได้บ้างและช่วย ให้ผิวหนังสดใสขึ้น
ข้อเสียคือ มี
  1. ประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโต ผู้ที่มีบาดแผลที่ผิวหนัง หรือผิวหนังติดเชื้อบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีประวัติโรคลมชัก ห้ามรับการทำไอออนโต
  • การใช้เทคนิคฉายแสง
ข้อดีคือ
  1. สามรถทำให้กระ ฝ้า จางลงได้ ในชั่วขณะหนึ่ง
ข้อเสียคือ
  1. มีข้อแทรกซ้อน คือ อาการเจ็บปวด ผิวแดง บวม และรอยดำหลังการอักเสบ
  2.  เป็นวิธีที่มีค่าใช้ จ่ายสูงไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดไม่กลับเป็นซ้ำ
  3. และอาจมีผลแทรกซ้อนได้ จึงควรเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สั่งซื้อสินค้าได้ที่

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *